2009-01-03

สัมภาษณ์พิเศษคุณบ๋อม Potato



สวัสดีครับเพื่อนๆ หลังจากหายไปนาน วันนี้ผมกลับมาสัมภาษณ์มือกลองรุ่นใหม่ ที่กำลังมีผลงานติดตลาดตอนนี้ แถมยังเป็นสมาชิกในบ้านเดียวกับพวกเราก็ว่าได้ ผมเลยอยู่เฉยไม่ได้ต้องไปเจาะใจซะหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นสมาชิกเราบางคนยังมีการเสนอชื่อมือกลองท่านนี้มาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงเวลาติดต่อนัดหมายพูดคุยกัน ผมก็ยิ่งได้รับรู้ว่าตอนนี้เค้าHotจริงเพราะคิวงานยาวไปอีกหลายเดือนเลยครับ
ผมยังคงนัดหมายแขกรับเชิญของเราในย่านใจกลางเมืองเพื่อง่ายต่อการเดินทาง เพราะหลังจากคุยกับเราแกก็ต้องมีงานแสดงต่อ ทำเอาผมรู้สึกเกรงใจมาก มาคราวนี้แขกรับเชิญคนนี้ผมรู้จักไม่ต้องเสียเวลาถามไถ่สัญลักษณ์การแต่งตัวเพื่อจะได้ดูออกว่าเป็นใคร เพราะพึ่งเห็นในทีวีมา ถึงเวลาเที่ยงเศษๆของต้นเดือนพฤศจิกายน ผมก็ได้พบตัวเป็นๆมือกลองหน้าหยก รูปหล่อแล้วครับ คุณบ๋อม Potato นั่นเอง พอเจอตัวจริงแล้วผมบอกกับตัวเองว่าถ้ามีน้องสาวห้ามเข้าใกล้มือกลองคนนี้เด็ดขาด (เดี๋ยวน้องจะใจแตก ห้ามใจไม่อยู่จะกระโดดหอมแก้มตาบ๋อมเอา )

M2D : เริ่มเล่าความเป็นมาเป็นไปก่อนจะมานั่งตีกลอง กับวงPotatoครับ

K.บ๋อม : ช่วงสิบกว่าปีที่แล้วผมไปอยู่ที่เมืองจีนกับคุณพ่อที่ทำธุรกิจอยู่ที่นั่น รู้สึกว่ามันเหงา ต้องไปหาVDO ของบ้านเรามาดู พอดีไปเจอของวงนูโว เห็นพี่ก้องเล่นกีต้าร์แล้วรู้สึกชอบ ก็ไปหาซื้อกีต้าร์เก่าๆมาหัดเล่น แต่ก็ไม่รุ่ง เพราะไม่มีใครสอน แล้วก็ไปไม่รอด ต่อมาก็ไปเจอVDOของวง ไมโครเห็นพี่ปูมือกลองกำลัง Solo มันส์เลย จุดนั้นทำให้ผมหันมาสนใจเรื่องกลองครับ เพราะครั้งนึงตอนเด็กๆผมเล่นดนตรีกับวงโยธวาธิตในตำแหน่งทรัมเป็ต เคยเห็นคนที่เล่นพวกกลองนี่ละผมก็อยากเล่นบ้างตามประสาเด็ก แต่มันเป็นสิ่งต้องห้ามไป เพราะคุณครูดนตรีจะสั่งเด็กๆห้ามไปเล่นเครื่องดนตรีพวกนี้ก่อนได้รับอนุญาต ผมเลยไม่มีโอกาสได้สัมผัสมัน พอผมกลับมาจากเมืองจีนก็บอกคุณพ่อว่าอยากเรียนตีกลองครับ

M2D : แล้วตัดสินใจไปเรียนที่ไหนครับ

K.บ๋อม : อยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อผมชวนไปงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าที่พาณิชย์การพระนคร ผมได้เจอเพื่อนของคุณพ่อที่เป็นนักจัดรายการวิทยุเพลงร็อคชื่อดังคือคุณวิฑูรย์ วธัญญู นั่นเองครับ แกแนะนำให้คุณพ่อพาผมไปเรียนกับอาจารย์มังกร ปี่แก้ว ผมจึงเริ่มเรียนกลองที่นี่เอง แต่ช่วงนั้นผมก็เริ่มฟังเพลงร็อค หนักๆ ซึงเน้นกลองสองกระเดื่อง ตอนนั้นคุณพ่อซื้อกลองชุดแรกให้ผมแล้ว ผมก็ไปซื้อBass Drum อีกใบ(ของเก่าที่โรงเรียนนะครับ) เพิ่มมาต่อเป็น Double Bass ช่วงนั้นผมก็เริ่มแกะเพลงเล่นบ้าง เริ่มประกวดในเวทีระดับวิทยาลัยที่เรียนอยู่ กลองที่เรียนมารู้สึกว่ามันช้า เรียนไปได้ประมาณ 6 เดือนก็เลิกเรียน ถึงตอนนี้ผมอยากบอกน้องๆเลยครับว่าไม่ถูกหรอก ตอนนั้นที่เรียนอ.จ.ให้จับไม้แบบ Traditional grip(มือซ้ายจับแบบคีบนะครับ) ก็จับเถอะครับอย่าใจร้อนมันมีประโยชน์

M2D : พอเลิกเรียนแล้วฝึกฝนต่ออย่างไรครับ

K.บ๋อม : ช่วงนั้นผมก็อาศัยการแกะเพลงเล่นให้เหมือน ฝึกแบบHero ดูจาก VDO ที่ชอบๆ พอดีรุ่นพี่ที่วิทยาลัยเค้ากำลังทำเพลงและ demo ทำให้ผมมีการแกะเพลงและซ้อมอย่างจริงจังมากขึ้น วงของเราก็เริ่มเล่นงานนอก หาประสบการณ์ตามงานเลี้ยงต่างๆมากขึ้น มันเป็นแรงกดดันให้ผมต้องฝึกฝนอย่างจริงจังมากขึ้นไปด้วย มีอยู่ครั้งนึงผมได้ไปเล่นงานเลี้ยงในมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒน์ประสานมิตร ผมไม่เคยทราบเลยว่าที่นั้นมีคณะที่เรียนเกี่ยวกับดนตรีด้วย พอดีได้ไปเล่นเวทีเดียวกันกับนักดนตรีของที่นั้น งานนั้นทำให้ผมเข้าใจคำว่าถูกฆ่าเป็นอย่างไร (พูดแล้วหวัเราะ) โห วงเค้าเล่นดีมาก มือกลองก็เก่ง พี่เค้ายังมาสอนบางเรื่องกับผมเลย เช่นพวก Single paradidle ,double paradidle เสียดายที่ผมจำชื่อเค้าไม่ได้แล้ว แต่อยากพูดถึงครับ นอกจากนั้นวงผมก็ยังไปตระเวนเล่นตามงานคอนเสริตท์ร็อคที่จัดกันตามเทศกาลต่างๆ อย่างงาน Pirate rock ของ DJ วินิตย์ เราก็พยายามไปเล่นเพื่อหาประสบการณ์ทางดนตรีของพวกเรา ประกอบกับช่วงที่เรียนนั้นผมได้เจอเพื่อนใหม่ที่ผมคิดว่าเค้าเป็นมือกลองฝีมือดีคนหนึ่งและได้ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันตลอดซึ่งตอนนี้เรารู้จักกันว่าคือคุณเอก Street funk roller นั่นเอง ซึ่งเค้าได้แนะนำให้ผมดู VDO สอนกลองดีๆอีกหลายม้วนเช่น ของ Tommy Aldridge , Dave weckl แต่ผมยอมรับว่าดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ครับ

M2D : สรุปแล้วคุณบ๋อมก็เล่นสองกระเดื่องมาตลอดเลยใช่หรือเปล่าครับ

K.บ๋อม : ใช่ครับ แต่มันมีจุดผกผันนิดนึง ช่วงที่ผมมาเรียนต่อที่ มศว.ประสานมิตร วันนึงในช่วงเทศกาลเบียร์ที่เวิล เทรด เซ็นเตอร์ ผมได้ไปดูวงดนตรี วงนึง คือวงของพี่โก้ มิสเตอร์แซกแมน ทำให้ผมได้เห็นพี่ Duck ตีกลอง ผมยืนดูกว่าชั่วโมง จนบอกกับตัวเองว่าที่เราตีกลองมาตลอดนั้นนะมันไม่ใช่ เราเล่นสองกระเดื่องมา มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมือที่ พี่ duck แกมี Ghost note ดีๆ และเท้าขวาที่เหยียบได้อย่างกระชับ จุดนี้ทำให้ผมอยากเล่นกระเดื่องเดียวให้ได้ดีขึ้นมาบ้าง ประกอบกับช่วงนั้นเองที่วงคนตรีผมแยกย้ายกัน แล้ววงการเพลง เมทัลมันก็ซบเซา เปลี่ยนไปเป็นเพลง Modern rock ซึ่งผมไม่ค่อยชอบแนวนี้เท่าไหร่ ผมก็หันไปฟังเพลงแนวญี่ปุ่นอย่าง X-japan เลยได้ฟอร์มวงใหม่ ไปดึงมือเบสผู้หญิงจากวงโชแปงมา พอซ้อมได้ที่ เราก็ออกแสดงตามงานต่างๆ จัดคอนเสริ์ตเล่นกันเอง ได้บ้าง เจ้งบ้าง แล้วก็ไปแกะเพลง cover ของวง L’Arc en ciel ซึ่งมือกลองวงนี้มีอิทธิผลต่อตัวผมมากที่สุด ผมได้อะไรจากดนตรีญี่ปุ่นมาเยอะเหมือนกันครับ

M2D : แล้วเริ่มมามีผลงานที่ GMM ได้อย่างไรครับ

K.บ๋อม : พอดีช่วงที่เล่นcover เพลงญี่ปุ่นนี้ผมได้มีโอกาสไปถ่ายโฆษณาเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง เพราะคนที่หานักแสดงนี้เค้าเห็นผมแบกกลองลงมาจากรถเมล์ เลยติดต่อผม เพราะงานนี้เค้าต้องการผู้แสดงที่เล่นคนตรีเป็น ซึ่งงานนี้ผมได้ไปแสดงตีกลองให้เค้าดูด้วย พอถ่ายโฆษณาเสร็จซักพัก ทางGMM ซึ่งเป็นคนแต่งเพลงโฆษณาให้ เห็นผลงานผมก็เกิดสนใจติดต่อผมให้เค้าไปคุยลายละเอียดจนได้มีโอกาสมีผลงานเป็นPotato นี่ละครับ

M2D : แล้วในช่วงนั้นคุณบ๋อมได้เรียนอะไรเพิ่มขึ้นบ้างรึปล่าวครับ

K.บ๋อม : อ๋อใช่ครับ ก่อนจะได้ทำเทปผมไปเรียนกลองเพิ่มกับอ,แมว ที่ Preavey ที่นี่อาจารย์สอนผมแบบไม่เน้นทฤษฎีจัดจ้านแต่สอนให้นักเรียน มีความสนุก และรักที่จะเล่นเพลงเป็นBand ผมเรียนที่นี่จนพอมีผลงานชุดแรก ก็ไม่ได้เรียนแล้ว ทางต้นสังกัดอยากให้ผมไปปรับปรุงการเล่นในสองส่วนคือด้าน Timing และลด fill in ต่างๆให้พอดีไม่มากไป ตอนนี้เค้าเลยให้ผมไปเรียนกับน้าสู ผมก็ใช้เวลาเรียนประมาณ 4 เดือน สิ่งที่น้าสูสอนและให้ความสำคัญก็คือการตีให้มีคุณภาพ ตีให้มี Dynamic และพวกเบสิคต่างที่เรามองข้ามไปเช่น การจับไม้ การนั่ง การตีกลองให้ลงในตำแหน่งตรงกลาง การตี ทอมให้ดังขึ้นเท่าๆกับตีสแนร์ การนับจังหวะในใจให้ละเอียดกว่าTempo ซึ่งจะช่วยให้เรามีTempo ในใจ คราวนี้ผมได้ฝึกตีกับ click track ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเล่นเลย เพราะ 80% ผมเล่นกับวง Band มาตลอด ที่เหลือก็ตีกับเทป แต่ที่เรียนไปไม่ค่อยได้ใช้ครับ(พูดแล้วหัวเราะ) เพราะงานชุดแรก มี คอนเสริทต์ น้อย หมดงานแล้วผมมีเวลาเหลือ เลยไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการตลาดครับ

M2D : อยากให้เล่าถึงการทำงานจากชุดแรกถึงชุดที่ 3 นี้ครับ

K.บ๋อม : ชุดที่1และ2 นั้นการทำงานจะคล้ายๆกัน ก็คือเราไม่ทำเพลงเอง รวมถึงงานในห้องอัด มีทีมงานทำให้ ตรงนี้อยากบอกเลยว่าผมอึดอัดมาก เพราะเราต้องแกะเพลงของเราเองเพื่อไปเล่น บวกกับภาพของวง Boy Band วันไหนเราเล่นดีคนฟังบางกลุ่มก็คิดว่าเราลิปซิ้ง วันไหนเล่นไม่ดีก็บอกว่าเพราะเป็น Boy Band ดีแต่หน้าตา พองานในชุดที่สองนี้สถานการณ์ของเราดีขึ้น เพราะได้คนแต่งเพลงใหม่ ที่แต่งเพลงช้าเก่ง จนเพลงเราติดตลาดมีงานเข้ามาเยอะขณะที่ทีมงานยังเป็นชุดเดิม จนมาถึงชุดที่สามล่าสุดนี้ความรู้สึกผมเหมือนกับว่าพึ่งได้ออกเทปชุดแรก เพราะในชุดนี้พี่ที่แต่งเพลงช้าให้เราในชุดที่แล้วมาเป็น Producer ให้ ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน ฟังเพลงแนวเดียวกัน งานในชุดนี้เค้าเลยให้โอกาสเราทำเองหมด รวมถึงงานในห้องอัดด้วย ดังนั้นline กลองในชุดนี้บางคนอาจแปลกใจว่าทำไมถึงมี 2 กระเดื่อง และสงสัยว่าทำไมหัดเล่นได้เร็วจัง (หัวเราะ) ตรงนี้ผมมีหลักคิดอย่างหนึ่งว่าในการจะตัดสินใจว่านักดนตรีคนไหนเก่งหรือไม่ต้องดูว่าเค้าได้เล่นในแนวที่เค้าถนัดหรือยัง ผมถือว่าโชคดีที่มีโอกาสทำตามแนวทางของเราแล้วมีคนรับตรงนี้ได้

M2D : อยากให้พูดถึงมือกลองที่คุณบ๋อมชอบครับ

K.บ๋อม : คนไทยก็ต้อง พี่ต่อ ซิลลี่ฟูล พี่ Duck Funk machine อ.จ.ต๊อด Bangkok connection ท่านนี้ผมพึ่งเห็นเมื่อตอนประกวด TDC เห็นแล้วได้แต่ร้อง ส่วนมือกลองต่างประเทศก็มีYokihiro ,Vinnie Pual,JoJo Mayer แล้วก็ Thomus Lange (ต้องขอโทษนะครับถ้าผมสะกดผิด)

M2D : อยากให้พูดถึงเทคนิคต่างๆเกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้ครับ

K.บ๋อม : เรื่องหนังกลอง bass drum ผมตั้งหนังด้าน batter ให้หย่อนๆเหมือนกับ Floor tom ที่ตั้งให้หย่อนมากสุดเท่าที่ทำได้เพื่อให้ได้เสียงที่ลึก ส่วนTom บนตั้งปกติให้ข้างบนและล่างตึงเท่าๆกัน เช่นเดียวกับสแนร์ แต่ผมจะตั้งแซ้ให้หย่อนๆเพื่อจะให้ได้เสียง body กลองออกมาด้วย เรื่องไม้ผมใช้ของ Ahead แต่ตอนอัดเสียงใช้ Ayotte 5 B ระยะหลังผมเจองานกลางแจ้งมาก เลยใช้ไม้ใหญ่ขึ้นเป็น 2 B แล้วครับ ส่วนเรื่องกระเดื่องผมใช้ DW 9000 ติด Grip เข้าไปเพื่อกันลื่นเวลาที่พื้นเปียกหรือมีฝุ่นมากครับ

M2D : ช่วงนี้งานเยอะขึ้นมีเวลาการฝึกอย่างไรครับ

K.บ๋อม : อย่างที่พูดไปแล้วว่าชุดนี้ผมหันมาใช้ 2 กระเดื่อง ผมเลยต้องรื้อฟื้นทักษะนั้นกลับมา ผมก็ซื้อหนังมุ้งมาใช้เพื่อฝึกเหยียบอยู่ที่บ้าน ฝึกเหยียบแบบตั้งสปริงให้อ่อนที่สุดอ่อน แล้วค่อยๆปรับขึ้นมาให้แข็งพอดี ส่วนมือก็ต้องพก pad ติดตัวเวลาตื่นนอนมาก็ตี pad ไปเรื่อยๆเพื่อฝึกความคล่องตัวครับ เรื่องขานั้นผมคิดว่าผมโชคดีที่ชอบเล่นกีฬา คือบาสเกตบอลมาก กล้ามเนื้อขาเลยแข็งแรง ไม่มีปัญหาเรื่องขาข้างซ้ายไม่แข็งแรง ถ้ามีเวลาว่างผมก็ไปดูเพื่อนๆนักดนตรีคนอื่นเล่นตามร้านต่างๆ ไปดูWork shop เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นแค่ผงธุลีในสายลมแค่ไหน(หัวเราะ) ไปดูตามงานแข่งขัน เพื่อให้รู้ว่าวงการเค้าพัฒนาถึงไหนแล้ว ทั้งหมดนี้เพื่อจะได้พัฒนาตัวเอง ถ้าอยู่กับคนที่ไม่ได้เล่นดนตรีแล้วเรามักจะผยองครับ

M2D : ก่อนขึ้นเวทีเตรียมตัวอย่างไรบ้างครับ

K.บ๋อม : ผมไม่ค่อยชอบวอร์มอัพอะไร แต่ใช้วิธีหาที่เงียบๆฟังที่เราจะเล่นมากๆ เพราะหลังเวทีส่วนใหญ่จะเสียงดังมาก ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้นได้ยินมากๆประสามจะล้า แล้วถ้าวงที่เล่นอยู่เล่นเพลงเร็วๆ เราจะติด Tempo นั้นมาด้วยครับ ส่วนเรื่องเล่นหลุดบ้างรึปล่าว (พูดแล้วหัวเราะ)ต้องถามว่าวันไหนไม่หลุดบ้าง คือผมว่ามือกลองเรารับบทหนักครับเพราะต้อง control หลายอย่างทั้งเครื่อง MD ทั้งต้องคอยปล่อยเพลง ต้องดูความพร้อมของเพื่อนๆอีกยุ่งครับ

M2D : วางแผนเกี่ยวกับอนาคตไว้อย่างไรและอยากเห็นอะไรในวงการเปลี่ยนแปลงบ้างครับ

K.บ๋อม : ผมคงไม่บอกว่าจะเล่นมันเป็นอาชีพ แต่จะอยู่กับมันไปตลอดแม้ว่าจะไม่ได้มีรายได้หลักจากการตีกลอง ผมมีความรู้สึกว่าถ้าบอกว่าจะยึดมันเป็นอาชีพแล้วเหมือนกับว่ามันไม่ได้พัฒนา ไม่มีการฝึก เพราะต้องเล่นแต่เพลงตลาด เล่นเพลงเดิมๆ ขณะที่บอกว่าอยู่กับมันและเล่นไปตลอดไม่บอกว่ายึดเป็นอาชีพทำให้รู้สึกว่าเป็นอิสระกับตัวเรา ส่วนเรื่องที่อยากเห็นและมีการเปลี่ยนแปลงคือ อยากเห็นเพื่อนนักดนตรีด้วยกันเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับการเล่นดนตรีบ้าง คือตอนนี้ผมรู้สึกว่าคำว่า Musician และ performer มันตัดขาดออกจากกัน คือพวก Musician ก็เล่นดนตรีอย่างเดียวไม่สนใจใครโดยเฉพาะคนดูและคนฟัง ขณะที่ตรงกันข้ามกับ performer ที่เน้นการแสดงอย่างเดียวไม่สนใจเรื่องการเล่นและโกยอย่างเดียว ไม่ได้ให้อะไรกับวงการเลย ผมอยากให้ทั้งสองอย่างนี้เกิดความสมดุลครับ คือพอขึ้นเวทีแล้วเราต้องเล่นให้คนดูฟัง ทำให้เค้ามีความสุข ไม่ใช่เล่นอย่างเดียว ซึ่งแต่ก่อนผมก็ติดเป็น performer ไป ผมว่าถ้าขึ้นไปเล่นบนเวทีแล้วไม่ทำให้คนดูมีความสุข ถือว่าเราสอบตกครับ

M2D : ตอนนี้มีแผนจะทำอะไรบ้างครับ

K.บ๋อม : ตอนนี้ผมคงโฟกัสไปที่ทัวร์คอนเสริตท์ครับ ที่ยาวไปอีก 3 เดือนข้างหน้า แล้วภาระอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ ผมต้องฝึกอีกเยอะ เพราะตอนนี้ถือว่าผมโชคดีกว่าเพื่อนๆนักดนตรีที่เก่งๆหลายคน ที่มีผลงานออกไปแล้วมีคนชอบเรา น้องๆยึดเราเป็นตัวอย่าง ผมทั้งรู้สึกเขิน อึดอัด และดีใจ ทำให้เรายิ่งต้องพัฒนาตัวเองครับ

M2D : ท้ายนี้มีอะไรจะฝากถึงน้องๆบ้างครับ
K.บ๋อม : ผมอยากขอยืมคำพูดของAkira jumbo มาพูดซึ่งเป็นคำพูดที่ผมชอบและจำไว้ตลอดคือ นักดนตรีที่ดีต้องมองอะไรกว้างๆ อย่ามองแบแคบๆลึกๆเพราะจะทำให้เราไม่เห็นความสวยงามของดนตรีอย่างอื่น อย่ายึดติดกับดนตรีแนวใดแนวหนึ่ง แล้วจะเห็นความสวยงามของดนตรีอย่างอื่นครับ

เสียงคำตอบวลีสุดท้ายของคุณบ๋อมจบลง พร้อมกับเวลาของการร่ำลาที่มาถึง ผมรู้ว่าผมได้ตัวอย่างมือกลองรุ่นใหม่ที่ดีเหมาะแก่การเป็น Idol ให้สมาชิกของผมแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ความตั้งใจทำงาน และความเข้าใจในหน้าที่นักดนตรีที่ดี ถึงตอนนี้ก็คงต้องเฝ้ารอและเอาใจช่วยมือกลองหนุ่มหน้าหยกนี้ให้ประสบความสำเร็จในหนทางถนนดนตรีสายนี้ ที่มีพวกเราชาว M2D ร่วมเดินไปด้วยกันครับ

คุณบ๋อมฝาก Set up กลองมาให้ดูกันนะครับ


แล้วก็ฝากโน๊ตเพลงมาให้ดูกันจะได้ไม่เสียเวลาแกะครับ

By: mr.pop

สัมภาษณ์พิเศษอาจารย์เลาะห์


สวัสดีครับเพื่อนๆ หลังจากห่างหายกับการสัมภาษณ์ไปนาน พี่น้องของเราก็เร่งเร้าให้ผมUp date คอลัมส์นี้เสียที ดังนั้นตามคำเรียกร้องครับ ตามคิวที่ผมตั้งใจไว้ ผมเลยอยู่เฉยไม่ได้แล้วต้องรีบติดต่อทาบทาม มือกลองแนว Death Metal ที่มีฝีมือเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ของบ้านเรามีผลงานทั้งอัลบั้มเพลง ตั้งแต่ใต้ดิน จนถึงบนดินและ VCD สอนกลอง ผู้มีเจ้าของฉายา “กระเดื่อง ปีศาจ” ไม่ใช่ใครครับ อ.เลาะห์ นั้นเอง
ผมวางแผนแต่แรกว่าถ้าเจอตัวจริง ผมจะขอลายเซ็นต์อ.เลาะห์ บนปก VCD สอนกลองซะหน่อย แต่ถึงเวลานัดผมดันลืมเอาไปซะฉิบเสียดายมาก นัดสัมภาษณ์คราวนี้เราไปกันแถวชานเมือง(ปากเกร็ด) ในร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่ง พอถึงเวลานัดผมเจอตัวจริงเป็นๆของอ.เลาะห์มาในมาภาพที่ไม่เหมือนที่เห็นใน VCD คือผมตัดสั้นลงทำให้หน้าเด็ก และลดความเหี้ยมเกรียมลงมาในระดับหนึ่ง ปากผมทำงานไวเท่ากับความคิด คำถามแรกเลยเริ่มขึ้น

M2D : อยากให้อาจารย์เลาะห์เล่าประวัติส่วนตัวก่อนมาถึงจุดนี้ให้ฟังหน่อยครับ

อ.เลาะห์ : ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดเกิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากชื่อที่เรียกกันมักคิดว่าผมเป็นคนไทยมุสลิม แต่ไม่ใช่ครับ ชื่อนี้มาจากช่วงนั้นเพลงของพี่อู๊ด ยานนาวา (วงซู ซูขณะนั้น )เพลงอับดุลเลาะห์กำลังดัง เพื่อนๆในวงฟุตบอลเรียกผม เลยเรียกกันติดปากมาถึงตอนนี้ เด็กๆช่วงประถมผมชอบดนตรี เริ่มจากกีตาร์ก่อน เห็นมันแขวนอยู่ที่ร้านขายเครื่องเขียนก็อยากได้มาก แต่ก็ไม่มีเงินซื้อ ซึ่งจะขอเงินจากพ่อ-แม่ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะท่านมีอาชีพเป็นครูทั้งคู่ เราคงไม่สามารถพูดโน้มน้าวให้ท่านมาเห็นดีด้วย ประกอบกับผมคิดว่าถ้าได้มันมาไม่มีใครสอนก็คงจะเล่นมันไม่ได้ดี สรุปก็อดไม่ได้เล่นครับ (หัวเราะ) ในช่วงนั้นดนตรีบ้านเราดนตรีแนวดีสโก้ กำลังฮิต พ่อผมก็ซื้อสเตอริโอมาเปิดเพลงแนวดีสโก้ และมีพวกลาตินด้วย ผมฟังแล้วก็รู้สึกชักจะชอบจังหวะของกลองขึ้นมา ก็เริ่มจำจังหวะกลองที่ผ่านเข้ามาทั้งจากวิทยุ วงดนตรี รวมถึงวงดนตรีคนตาบอดด้วย ดูแล้วจำหมด ก็เริ่มตีโต๊ะ เก้าอี้ หมอนไปเรื่อย ตอนจบป4.ขึ้นป5.ผมเปลี่ยนโรงเรียนไปเรียนที่นครศรีธรรมราชเป็นโรงเรียนคริสต์ เจอเพื่อนใหม่ที่เป็นลูกของอ.จ. ที่นั้นมีกิจกรรมเยอะ มีงานการแสดงดนตรีตามงานต่างๆในโบสถ์เช่นคริสต์มาส และงานอื่นๆ ยิ่งทำให้ผมเกิดความอยากเล่นดนตรีมากขึ้น ได้ลองเล่นกลองจริงด้วย อาจารย์ก็แนะนำให้ผมไปเรียนตีกลองที่สยามยามาฮ่า แต่ก็อดครับเพราะพ่อแม่ผมไม่เห็นด้วย จากนั้นพอจบป6.ผมย้ายไปเรียนที่เบญจมราชูทิศ ที่นครศรีธรรมราชเนี่ยละ ผมได้เริ่มเรียนดนตรีที่ชอบ ได้เรียนดนตรีสากล ได้เล่นกลองด้วย และอยู่วงโยทวาธิตแต่ได้เป่าทรัมเป็ต ที่นี่ผมได้ทฤษฏีดนตรีได้ความรู้เรื่องโน๊ต พอจบม.3แล้วผมก็มาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ อยากหาวงดนตรี และห้องซ้อมดีๆ ช่วงนั้นดนตรีบ้านเราเป็นยุคของเฮพวี่เมทัล วงคนไทยก็เป็นHi-Rock ผมก็เริ่มทำวงกับเพื่อนๆ ตอนนี้อยากเล่นกลองจริงๆจังๆแล้วไปซ้อมดนตรีที่ห้องซ้อมแถวโรงพยาบาลศรีธัญญา เป็นของพี่วง Uranium ที่นั่นมีกลองสองกระเดื่อง ผมชอบมากรู้สึกว่ามันอลังการ ประกอบกับเริ่มมาฟังเพลงแนวเฮพวี่อย่าง YNGWIE MALMSTEEN ทำให้ผมมาฝึกเล่นกลอง2กระเดื่องอย่างจริงจัง จริงๆแล้วผมยังได้อิทธิผลเพลงร๊อคจากการได้ไปซื้อเทปเพลงรวมฮิตของ LED ZEPLIN , URIA HEEP , DEEP PURPLE ซึ่งผมรู้สึกว่าเพลงเค้า คลาสสิคมาก ผมฝึกโดยวิธีแกะเพลงแล้วเล่นตามเทป แต่ตอนั้นแกะเพลงก็แกะเท่าที่ทำได้สำเนียงยังไม่ได้ แต่Speed ได้เพราะเรายังมีประสบการณ์ไม่มาก ผมคิดว่าดนตรีถ้าเราชอบแบบไหนจะได้เสียงกลองแบบนั้น นอกจากนั้นแล้วก็ถ้ามีโน๊ตขายที่ไหน ก็ต้องขวนขวายไปซื้อมา ช่วงนั้นเรียกได้ว่าผมใช้เวลาฝึกกลองกับเวลาเรียนหนังสือ 50:50 เลยครับ (พูดแล้วหัวเราะ) เงินค่าเรียนที่ทางบ้านส่งมาก็หมดไปกับห้องซ้อม ช่วงต้นเดือนก็สบายหน่อย พอปลายเดือนเงินหมด ก็อด(พูดแล้วหัวเราะ)

M2D : แล้วไปเรียนกลองที่ไหนเพิ่มรึปล่าวครับ

อ.เลาะห์ : ผมเคยไปหาที่เรียนเหมือนกัน แต่มันไม่ค่อยเป็นไปตามแนวที่เราต้องการคือเรียนแบบ 2กระเดื่อง ที่มีอาจารย์ที่ชำนาญดูแลเราใกล้ชิด และโรงเรียนที่มีสอนแนวดนตรีที่หลากหลาย ตกลงก็คือไม่ได้ไปเรียนครับ โชคดีผมได้พื้นฐานเรื่องโน๊ตและทฤษฎีมาแล้วช่วงเรียนมัธยม ผมใช้วิธีแกะแล้วก็ไปซ้อมที่ห้องซ้อม เพลงยากๆก็ใช้วิธีฟังและทำความเข้าใจสัดส่วนอย่างละเอียด ในช่วงนั้นเพลงที่มีรายละเอียดมากๆแล้วเป็นลูกคลาสสิค ก็ยังเล่นไม่ได้แต่ก็ใส่สร้างสรรค์ ลูกที่เราทำได้แล้วก็ใกล้เคียงเข้าไป

M2D : แล้วเริ่มมาเล่นอาชีพช่วงไหนครับ

อ.เลาะห์ : ช่วงที่ซ้อมกับเพื่อนๆตั้งชื่อวงว่า HERETIC ANGELS เล่นเพลงแนว Trash metal อย่างMetallica จริงๆแล้วก็ยากเล่นเพลงร๊อค คลาสสิค DEEP PURPLE แต่คิดว่าสำเนียงเราไม่ได้เลย ยึดเอาแนว 2 กระเดื่องเป็นหลัก คือแนว Trash metal นี่ล๊ะ แต่ผับที่เล่นเพลงแนวนี้ก็ยังไม่มี อย่าง Rock Pub , Metal Zone ก็ยังไม่รับผมกับเพื่อนๆก็คิดกันว่าจะทำ Demo ไปเสนอขายต่างประเทศเพราะตลาดเค้าเปิดกว้างกว่าบ้านเรา ในปี 2536 เราทำเทปชุด 1 ชื่อ Exterminate The Respiration เราไปอัดเสียงกันที่เชียงใหม่ ตอนแรกคิดว่าจะได้ไปขายเมืองนอก แต่ก็มาจบที่คลองตัน(พูดแล้วหัวเราะ) ชุดนี้เราทำเพลงกันใต้ดิน แต่เราก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง แล้วโอกาสก็มาถึง เราได้มาเล่นแจมกับวงรุ่นพี่ (SNOW WHITE) ที่ Rock Pub เกิดเข้าตากรรมการมั้ง เลยได้เล่นประจำที่นั่นเลย หลังจากนั้นงานของเราก็เข้าถึงพี่มาโนช พุฒตาล ซึ่งเขาอยากให้ทำอีกอัลบั้มเป็นภาษาไทย และมีแนวเพลงที่เบาลง เราถึงมีโอกาสทำเพลงออกมาใหม่แล้วเปลี่ยนชื่อวงเป็น Growing pain ถึงตอนนี้เพื่อนเราเริ่มมีภาระที่ต้องดูแลเช่นครอบครัว เราก็เลยเล่นงานกลางคืนกัน ที่ Rock Pub กับ Metal Zone นั่นแหละครับ เพลงที่เล่นก็เพลงฮิตๆช่วงนั้นแล้วก็มี Dream Theater ด้วย นอกจากนั้นในช่วงนี้ผมไปช่วยเล่นอัดเสียงให้วงของเพื่อนๆที่สนิทๆกันหลายคน จนล่าสุดได้มาเจอกับพี่โป่ง(หิน เหล็ก ไฟ) ก็ได้เซ็นสัญญากับค่าย Real&Shure บริษัทลูกของ RS. Promotion ได้เปลี่ยนชื่อวงเป็น Glow ครับ

M2D : แล้วมามีผลงาน VCD สอนกลองได้อย่างไรครับ

อ.เลาะห์ : ก็ช่วงทำงานกับพี่มาโนช เกิดความรู้สึกว่าอยากมีงานที่ดีๆที่เก็บไว้ดูเพื่อความภูมิใจ ความทรงจำที่ดีและเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการศึกษาด้วยตนเอง จนวันหนึ่งไปงานShow ตัว ไปเจอพี่หล้า(โรงเรียนดนตรีปราชญ์มิวสิค) แกชวนทำงานสอน ผมเลยตอบตกลงเลยเกิดเป็นงานสอนที่เห็นครับ
M2D : ผ่านงานใหญ่ๆมาเยอะช่วงที่เกิดความรู้สึกท้อและผิดหวังกับงานทำอย่างไรครับ
อ.เลาะห์ : บังเอิญผมเป็นคนไม่คิดอะไรมากพอตื่นขึ้นมาก็ลืมหมดแล้ว ผมตีกลองเพราะผมชอบ มีความสุขที่ได้ตีได้เล่น ไม่ได้ฉาบฉวยกับมัน ทำให้คิดที่พัฒนาสร้างสรรค์ไปข้างหน้าตลอดครับ

M2D : อยากให้พูดถึงเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้บ้างครับ

อ.เลาะห์ : ผมไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ หนังก็ไม่ติดยี่ห้ออะไรเป็นพิเศษ ตั้งหนังไม่ให้หย่อนหรือตึงมาก ไม่ตั้งตามโน้ตอะไร ใช้ตั้งตามความรู้สึก หนังสำรองก็ไม่พกถ้าแตกก็ลงไปยืมของเพื่อนวงอื่นที่รอเล่น(พูดแล้วหัวเราะ) ไม้กลองก็ใช้แค่ 5 B แต่กลับด้านใช้ด้ามตี กระเดื่องใช้ของ TAMA รุ่นไหนจำไม่ได้แล้วเก่าแล้วครับ ที่ใช้ยี่ห้อนี้เพราะใช้มาหลายยี่ห้อ แล้วตัวนี้พิสูจน์แล้วว่าทนทาน( พูดแล้วหัวเราะ) ส่วนแสนร์ ผมใช้ของ Pearl รุ่นเก่าแล้วเป็นมรดกมาครับของ John Bonham

M2D : อยากให้พูดถึงมือกลองที่ชื่นชอบครับ

อ.เลาะห์ : ถ้าคนไทยก็ต้องพี่กรุ๋งกริ๋ง กับพี่เอกมันต์ โดยเฉพาะพี่เอกมันต์เนี่ย ทุกวันนี้แกยังตีได้สุดยอดเลยผมคิดไม่ออกเลยว่าตอนหนุ่มๆแกจะแค่ไหน ส่วนมือกลองต่างประเทศที่ชอบมีหลายคนครับอย่าง Ian Paise , Thomas Lang ,Mike Portnoy ,Virgil Donati ประเด็นเพิ่มเติมในมือกลอง 2 คนหลังเนี่ยผมรู้สึกว่า Mike เป็นมือกลองที่มีความสามารถในการเรียบเรียง groove ต่างในเพลงของเค้าได้อย่างกลมกลืนลงตัวและมีพลังทำให้มือกลองยุค 1990 เป็นต้นมามีการพัฒนาไปมาก ส่วน Virgil เป็นมือกลองรุ่นใหม่ที่มีพลังและทำให้วงการพัฒนาไปอีก

M2D : อยากเห็นวงการนี้เปลี่ยนแปลงอะไรบ้างครับ

อ.เลาะห์ : อยากให้มีเวทีสำหรับการแสดงดนตรีที่หลากหลายและมากกว่านี้เพื่อให้นักดนตรีหลายๆแนวได้มีโอกาสนำเสนอผลงาน เพราะเห็นตัวอย่างจากต่างประเทศที่นักดนตรีเก่งๆบางคนก็ไม่ได้เล่นดนตรีเป็นงานหลัก มีอาชีพหลากหลาย บางคนก็แปลกๆเช่น Securities ก็สามารถมีผลงานออกมาได้ แล้วก็พวกระบบผลตอบแทนนักดนตรีซึ่งควรมีผู้จัดการดูแลให้เป็นระบบเป็นPackage และดูแลเรื่องลิขสิทธิ์การแสดงต่างๆครับ

M2D : มีแผนงานในอนาคตอะไรบ้างครับ
อ.เลาะห์ :พอดีช่วงนี้ผมกลับมาเรียนต่อปริญญาโทวิศวโทรคมนาคม ที่ลาดกระบังกำลังจะจบแล้วครับ(สงสัยเลยทำให้ตัดผมสั้นลงครับ) พอจบแล้วก็มีโครงการจะทำ VCD สอนชุดต่อไป กำลังเก็บข้อมูลอยู่ครับ แล้วก็จะมีผลงานกับGlow ให้ฟังกันอีก ในอนาคตไกลๆก็อยากจะมีร้านกาแฟเล็กๆซึ่งมีห้องซ้อมดนตรี แล้วก็รับซ่อมกลองด้วย( พูดแล้วหัวเราะ)
M2D : อยากฝากคำพูดอะไรถึงน้องๆแฟนคลับมือกลองรุ่นหลังบ้างครับ
อ.เลาะห์ : อยากฝาก3เรื่องที่สำคัญคือต้องขยันซ้อม ขยันคิดสร้างสรรค์ และขยันศึกษาครับ เพื่อจะได้พัฒนาผลงานที่มีคุณภาพต่อไป

กาแฟผมหมดแก้วไปนานแล้ว พร้อมกับเวลาอันสมควรที่ต้องล่ำลากัน กล้องถ่ายรูปที่พกมาเริ่มทำงานเก็บภาพของมัน ตลอดเวลาสนทนากับมือกลองมาดเข้มคนนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนๆประทับใจเหมือนผมรึปล่าวกับประโยคทองที่ว่า “ตีกลองเพราะผมชอบ มีความสุขที่ได้ตีได้เล่น ไม่ได้ฉาบฉวยกับมัน และต้องมีความขยัน” เพราะมันคงทำให้พวกเราหายสงสัยได้แล้วครับว่าทำอย่างไรเราถึงจะก้าวมายืนในแนวหน้าของวงการได้อย่างมั่นคง



นอกจากนั้นอ.จ.เลาะห์ยังฝากเอาลูกเก่งของแกตอนนี้มากฝาก อ.จ.เลาะห์อธิบายเพิ่มว่าให้ฝึกจากช้าไปก่อนจนถึงความเร็วที่เราสามารถทำได้ และยังบอกอีกว่า ลูกนี้ถ้าตอนหนุ่มๆเท้า คงใช้แบบสลับซ้ายขวาปกติ แต่พอถึงวัยนี้(> 30 ปี) ขอเป็นใช้สไลด์เท้าขวาดีกว่าครับ (ปรับให้ตามวัย 555) ส่วนเรื่องที่น้องๆฝากมาถามว่าแต่ก่อนแกอ้วนตกลองจนผมลงใช่หรือเปล่า แกบอกว่าก็มีส่วนครับ เพราะเพลงที่เราเล่นนั้นหนักต้องใช้พลังงานเยอะ พอมีงานเล่นเยอะก็จะผม ถ้าหยุดก็จะอ้วนครับ

ขอบคุณน้องBank (Dead 106 ) ที่ช่วยสนับสนุนข้อมูลติดต่อครับ

By: Mr.POP