

สวัสดีครับเพื่อนๆ หลังจากหายไปนาน วันนี้ผมกลับมาสัมภาษณ์มือกลองรุ่นใหม่ ที่กำลังมีผลงานติดตลาดตอนนี้ แถมยังเป็นสมาชิกในบ้านเดียวกับพวกเราก็ว่าได้ ผมเลยอยู่เฉยไม่ได้ต้องไปเจาะใจซะหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นสมาชิกเราบางคนยังมีการเสนอชื่อมือกลองท่านนี้มาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงเวลาติดต่อนัดหมายพูดคุยกัน ผมก็ยิ่งได้รับรู้ว่าตอนนี้เค้าHotจริงเพราะคิวงานยาวไปอีกหลายเดือนเลยครับ
ผมยังคงนัดหมายแขกรับเชิญของเราในย่านใจกลางเมืองเพื่อง่ายต่อการเดินทาง เพราะหลังจากคุยกับเราแกก็ต้องมีงานแสดงต่อ ทำเอาผมรู้สึกเกรงใจมาก มาคราวนี้แขกรับเชิญคนนี้ผมรู้จักไม่ต้องเสียเวลาถามไถ่สัญลักษณ์การแต่งตัวเพื่อจะได้ดูออกว่าเป็นใคร เพราะพึ่งเห็นในทีวีมา ถึงเวลาเที่ยงเศษๆของต้นเดือนพฤศจิกายน ผมก็ได้พบตัวเป็นๆมือกลองหน้าหยก รูปหล่อแล้วครับ คุณบ๋อม Potato นั่นเอง พอเจอตัวจริงแล้วผมบอกกับตัวเองว่าถ้ามีน้องสาวห้ามเข้าใกล้มือกลองคนนี้เด็ดขาด (เดี๋ยวน้องจะใจแตก ห้ามใจไม่อยู่จะกระโดดหอมแก้มตาบ๋อมเอา )
M2D : เริ่มเล่าความเป็นมาเป็นไปก่อนจะมานั่งตีกลอง กับวงPotatoครับ
K.บ๋อม : ช่วงสิบกว่าปีที่แล้วผมไปอยู่ที่เมืองจีนกับคุณพ่อที่ทำธุรกิจอยู่ที่นั่น รู้สึกว่ามันเหงา ต้องไปหาVDO ของบ้านเรามาดู พอดีไปเจอของวงนูโว เห็นพี่ก้องเล่นกีต้าร์แล้วรู้สึกชอบ ก็ไปหาซื้อกีต้าร์เก่าๆมาหัดเล่น แต่ก็ไม่รุ่ง เพราะไม่มีใครสอน แล้วก็ไปไม่รอด ต่อมาก็ไปเจอVDOของวง ไมโครเห็นพี่ปูมือกลองกำลัง Solo มันส์เลย จุดนั้นทำให้ผมหันมาสนใจเรื่องกลองครับ เพราะครั้งนึงตอนเด็กๆผมเล่นดนตรีกับวงโยธวาธิตในตำแหน่งทรัมเป็ต เคยเห็นคนที่เล่นพวกกลองนี่ละผมก็อยากเล่นบ้างตามประสาเด็ก แต่มันเป็นสิ่งต้องห้ามไป เพราะคุณครูดนตรีจะสั่งเด็กๆห้ามไปเล่นเครื่องดนตรีพวกนี้ก่อนได้รับอนุญาต ผมเลยไม่มีโอกาสได้สัมผัสมัน พอผมกลับมาจากเมืองจีนก็บอกคุณพ่อว่าอยากเรียนตีกลองครับ
M2D : แล้วตัดสินใจไปเรียนที่ไหนครับ
K.บ๋อม : อยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อผมชวนไปงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าที่พาณิชย์การพระนคร ผมได้เจอเพื่อนของคุณพ่อที่เป็นนักจัดรายการวิทยุเพลงร็อคชื่อดังคือคุณวิฑูรย์ วธัญญู นั่นเองครับ แกแนะนำให้คุณพ่อพาผมไปเรียนกับอาจารย์มังกร ปี่แก้ว ผมจึงเริ่มเรียนกลองที่นี่เอง แต่ช่วงนั้นผมก็เริ่มฟังเพลงร็อค หนักๆ ซึงเน้นกลองสองกระเดื่อง ตอนนั้นคุณพ่อซื้อกลองชุดแรกให้ผมแล้ว ผมก็ไปซื้อBass Drum อีกใบ(ของเก่าที่โรงเรียนนะครับ) เพิ่มมาต่อเป็น Double Bass ช่วงนั้นผมก็เริ่มแกะเพลงเล่นบ้าง เริ่มประกวดในเวทีระดับวิทยาลัยที่เรียนอยู่ กลองที่เรียนมารู้สึกว่ามันช้า เรียนไปได้ประมาณ 6 เดือนก็เลิกเรียน ถึงตอนนี้ผมอยากบอกน้องๆเลยครับว่าไม่ถูกหรอก ตอนนั้นที่เรียนอ.จ.ให้จับไม้แบบ Traditional grip(มือซ้ายจับแบบคีบนะครับ) ก็จับเถอะครับอย่าใจร้อนมันมีประโยชน์
M2D : พอเลิกเรียนแล้วฝึกฝนต่ออย่างไรครับ
K.บ๋อม : ช่วงนั้นผมก็อาศัยการแกะเพลงเล่นให้เหมือน ฝึกแบบHero ดูจาก VDO ที่ชอบๆ พอดีรุ่นพี่ที่วิทยาลัยเค้ากำลังทำเพลงและ demo ทำให้ผมมีการแกะเพลงและซ้อมอย่างจริงจังมากขึ้น วงของเราก็เริ่มเล่นงานนอก หาประสบการณ์ตามงานเลี้ยงต่างๆมากขึ้น มันเป็นแรงกดดันให้ผมต้องฝึกฝนอย่างจริงจังมากขึ้นไปด้วย มีอยู่ครั้งนึงผมได้ไปเล่นงานเลี้ยงในมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒน์ประสานมิตร ผมไม่เคยทราบเลยว่าที่นั้นมีคณะที่เรียนเกี่ยวกับดนตรีด้วย พอดีได้ไปเล่นเวทีเดียวกันกับนักดนตรีของที่นั้น งานนั้นทำให้ผมเข้าใจคำว่าถูกฆ่าเป็นอย่างไร (พูดแล้วหวัเราะ) โห วงเค้าเล่นดีมาก มือกลองก็เก่ง พี่เค้ายังมาสอนบางเรื่องกับผมเลย เช่นพวก Single paradidle ,double paradidle เสียดายที่ผมจำชื่อเค้าไม่ได้แล้ว แต่อยากพูดถึงครับ นอกจากนั้นวงผมก็ยังไปตระเวนเล่นตามงานคอนเสริตท์ร็อคที่จัดกันตามเทศกาลต่างๆ อย่างงาน Pirate rock ของ DJ วินิตย์ เราก็พยายามไปเล่นเพื่อหาประสบการณ์ทางดนตรีของพวกเรา ประกอบกับช่วงที่เรียนนั้นผมได้เจอเพื่อนใหม่ที่ผมคิดว่าเค้าเป็นมือกลองฝีมือดีคนหนึ่งและได้ศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันตลอดซึ่งตอนนี้เรารู้จักกันว่าคือคุณเอก Street funk roller นั่นเอง ซึ่งเค้าได้แนะนำให้ผมดู VDO สอนกลองดีๆอีกหลายม้วนเช่น ของ Tommy Aldridge , Dave weckl แต่ผมยอมรับว่าดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ครับ
M2D : สรุปแล้วคุณบ๋อมก็เล่นสองกระเดื่องมาตลอดเลยใช่หรือเปล่าครับ
K.บ๋อม : ใช่ครับ แต่มันมีจุดผกผันนิดนึง ช่วงที่ผมมาเรียนต่อที่ มศว.ประสานมิตร วันนึงในช่วงเทศกาลเบียร์ที่เวิล เทรด เซ็นเตอร์ ผมได้ไปดูวงดนตรี วงนึง คือวงของพี่โก้ มิสเตอร์แซกแมน ทำให้ผมได้เห็นพี่ Duck ตีกลอง ผมยืนดูกว่าชั่วโมง จนบอกกับตัวเองว่าที่เราตีกลองมาตลอดนั้นนะมันไม่ใช่ เราเล่นสองกระเดื่องมา มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมือที่ พี่ duck แกมี Ghost note ดีๆ และเท้าขวาที่เหยียบได้อย่างกระชับ จุดนี้ทำให้ผมอยากเล่นกระเดื่องเดียวให้ได้ดีขึ้นมาบ้าง ประกอบกับช่วงนั้นเองที่วงคนตรีผมแยกย้ายกัน แล้ววงการเพลง เมทัลมันก็ซบเซา เปลี่ยนไปเป็นเพลง Modern rock ซึ่งผมไม่ค่อยชอบแนวนี้เท่าไหร่ ผมก็หันไปฟังเพลงแนวญี่ปุ่นอย่าง X-japan เลยได้ฟอร์มวงใหม่ ไปดึงมือเบสผู้หญิงจากวงโชแปงมา พอซ้อมได้ที่ เราก็ออกแสดงตามงานต่างๆ จัดคอนเสริ์ตเล่นกันเอง ได้บ้าง เจ้งบ้าง แล้วก็ไปแกะเพลง cover ของวง L’Arc en ciel ซึ่งมือกลองวงนี้มีอิทธิผลต่อตัวผมมากที่สุด ผมได้อะไรจากดนตรีญี่ปุ่นมาเยอะเหมือนกันครับ
M2D : แล้วเริ่มมามีผลงานที่ GMM ได้อย่างไรครับ
K.บ๋อม : พอดีช่วงที่เล่นcover เพลงญี่ปุ่นนี้ผมได้มีโอกาสไปถ่ายโฆษณาเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง เพราะคนที่หานักแสดงนี้เค้าเห็นผมแบกกลองลงมาจากรถเมล์ เลยติดต่อผม เพราะงานนี้เค้าต้องการผู้แสดงที่เล่นคนตรีเป็น ซึ่งงานนี้ผมได้ไปแสดงตีกลองให้เค้าดูด้วย พอถ่ายโฆษณาเสร็จซักพัก ทางGMM ซึ่งเป็นคนแต่งเพลงโฆษณาให้ เห็นผลงานผมก็เกิดสนใจติดต่อผมให้เค้าไปคุยลายละเอียดจนได้มีโอกาสมีผลงานเป็นPotato นี่ละครับ
M2D : แล้วในช่วงนั้นคุณบ๋อมได้เรียนอะไรเพิ่มขึ้นบ้างรึปล่าวครับ
K.บ๋อม : อ๋อใช่ครับ ก่อนจะได้ทำเทปผมไปเรียนกลองเพิ่มกับอ,แมว ที่ Preavey ที่นี่อาจารย์สอนผมแบบไม่เน้นทฤษฎีจัดจ้านแต่สอนให้นักเรียน มีความสนุก และรักที่จะเล่นเพลงเป็นBand ผมเรียนที่นี่จนพอมีผลงานชุดแรก ก็ไม่ได้เรียนแล้ว ทางต้นสังกัดอยากให้ผมไปปรับปรุงการเล่นในสองส่วนคือด้าน Timing และลด fill in ต่างๆให้พอดีไม่มากไป ตอนนี้เค้าเลยให้ผมไปเรียนกับน้าสู ผมก็ใช้เวลาเรียนประมาณ 4 เดือน สิ่งที่น้าสูสอนและให้ความสำคัญก็คือการตีให้มีคุณภาพ ตีให้มี Dynamic และพวกเบสิคต่างที่เรามองข้ามไปเช่น การจับไม้ การนั่ง การตีกลองให้ลงในตำแหน่งตรงกลาง การตี ทอมให้ดังขึ้นเท่าๆกับตีสแนร์ การนับจังหวะในใจให้ละเอียดกว่าTempo ซึ่งจะช่วยให้เรามีTempo ในใจ คราวนี้ผมได้ฝึกตีกับ click track ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเล่นเลย เพราะ 80% ผมเล่นกับวง Band มาตลอด ที่เหลือก็ตีกับเทป แต่ที่เรียนไปไม่ค่อยได้ใช้ครับ(พูดแล้วหัวเราะ) เพราะงานชุดแรก มี คอนเสริทต์ น้อย หมดงานแล้วผมมีเวลาเหลือ เลยไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการตลาดครับ
M2D : อยากให้เล่าถึงการทำงานจากชุดแรกถึงชุดที่ 3 นี้ครับ
K.บ๋อม : ชุดที่1และ2 นั้นการทำงานจะคล้ายๆกัน ก็คือเราไม่ทำเพลงเอง รวมถึงงานในห้องอัด มีทีมงานทำให้ ตรงนี้อยากบอกเลยว่าผมอึดอัดมาก เพราะเราต้องแกะเพลงของเราเองเพื่อไปเล่น บวกกับภาพของวง Boy Band วันไหนเราเล่นดีคนฟังบางกลุ่มก็คิดว่าเราลิปซิ้ง วันไหนเล่นไม่ดีก็บอกว่าเพราะเป็น Boy Band ดีแต่หน้าตา พองานในชุดที่สองนี้สถานการณ์ของเราดีขึ้น เพราะได้คนแต่งเพลงใหม่ ที่แต่งเพลงช้าเก่ง จนเพลงเราติดตลาดมีงานเข้ามาเยอะขณะที่ทีมงานยังเป็นชุดเดิม จนมาถึงชุดที่สามล่าสุดนี้ความรู้สึกผมเหมือนกับว่าพึ่งได้ออกเทปชุดแรก เพราะในชุดนี้พี่ที่แต่งเพลงช้าให้เราในชุดที่แล้วมาเป็น Producer ให้ ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน ฟังเพลงแนวเดียวกัน งานในชุดนี้เค้าเลยให้โอกาสเราทำเองหมด รวมถึงงานในห้องอัดด้วย ดังนั้นline กลองในชุดนี้บางคนอาจแปลกใจว่าทำไมถึงมี 2 กระเดื่อง และสงสัยว่าทำไมหัดเล่นได้เร็วจัง (หัวเราะ) ตรงนี้ผมมีหลักคิดอย่างหนึ่งว่าในการจะตัดสินใจว่านักดนตรีคนไหนเก่งหรือไม่ต้องดูว่าเค้าได้เล่นในแนวที่เค้าถนัดหรือยัง ผมถือว่าโชคดีที่มีโอกาสทำตามแนวทางของเราแล้วมีคนรับตรงนี้ได้
M2D : อยากให้พูดถึงมือกลองที่คุณบ๋อมชอบครับ
K.บ๋อม : คนไทยก็ต้อง พี่ต่อ ซิลลี่ฟูล พี่ Duck Funk machine อ.จ.ต๊อด Bangkok connection ท่านนี้ผมพึ่งเห็นเมื่อตอนประกวด TDC เห็นแล้วได้แต่ร้อง ส่วนมือกลองต่างประเทศก็มีYokihiro ,Vinnie Pual,JoJo Mayer แล้วก็ Thomus Lange (ต้องขอโทษนะครับถ้าผมสะกดผิด)
M2D : อยากให้พูดถึงเทคนิคต่างๆเกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้ครับ
K.บ๋อม : เรื่องหนังกลอง bass drum ผมตั้งหนังด้าน batter ให้หย่อนๆเหมือนกับ Floor tom ที่ตั้งให้หย่อนมากสุดเท่าที่ทำได้เพื่อให้ได้เสียงที่ลึก ส่วนTom บนตั้งปกติให้ข้างบนและล่างตึงเท่าๆกัน เช่นเดียวกับสแนร์ แต่ผมจะตั้งแซ้ให้หย่อนๆเพื่อจะให้ได้เสียง body กลองออกมาด้วย เรื่องไม้ผมใช้ของ Ahead แต่ตอนอัดเสียงใช้ Ayotte 5 B ระยะหลังผมเจองานกลางแจ้งมาก เลยใช้ไม้ใหญ่ขึ้นเป็น 2 B แล้วครับ ส่วนเรื่องกระเดื่องผมใช้ DW 9000 ติด Grip เข้าไปเพื่อกันลื่นเวลาที่พื้นเปียกหรือมีฝุ่นมากครับ
M2D : ช่วงนี้งานเยอะขึ้นมีเวลาการฝึกอย่างไรครับ
K.บ๋อม : อย่างที่พูดไปแล้วว่าชุดนี้ผมหันมาใช้ 2 กระเดื่อง ผมเลยต้องรื้อฟื้นทักษะนั้นกลับมา ผมก็ซื้อหนังมุ้งมาใช้เพื่อฝึกเหยียบอยู่ที่บ้าน ฝึกเหยียบแบบตั้งสปริงให้อ่อนที่สุดอ่อน แล้วค่อยๆปรับขึ้นมาให้แข็งพอดี ส่วนมือก็ต้องพก pad ติดตัวเวลาตื่นนอนมาก็ตี pad ไปเรื่อยๆเพื่อฝึกความคล่องตัวครับ เรื่องขานั้นผมคิดว่าผมโชคดีที่ชอบเล่นกีฬา คือบาสเกตบอลมาก กล้ามเนื้อขาเลยแข็งแรง ไม่มีปัญหาเรื่องขาข้างซ้ายไม่แข็งแรง ถ้ามีเวลาว่างผมก็ไปดูเพื่อนๆนักดนตรีคนอื่นเล่นตามร้านต่างๆ ไปดูWork shop เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นแค่ผงธุลีในสายลมแค่ไหน(หัวเราะ) ไปดูตามงานแข่งขัน เพื่อให้รู้ว่าวงการเค้าพัฒนาถึงไหนแล้ว ทั้งหมดนี้เพื่อจะได้พัฒนาตัวเอง ถ้าอยู่กับคนที่ไม่ได้เล่นดนตรีแล้วเรามักจะผยองครับ
M2D : ก่อนขึ้นเวทีเตรียมตัวอย่างไรบ้างครับ
K.บ๋อม : ผมไม่ค่อยชอบวอร์มอัพอะไร แต่ใช้วิธีหาที่เงียบๆฟังที่เราจะเล่นมากๆ เพราะหลังเวทีส่วนใหญ่จะเสียงดังมาก ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้นได้ยินมากๆประสามจะล้า แล้วถ้าวงที่เล่นอยู่เล่นเพลงเร็วๆ เราจะติด Tempo นั้นมาด้วยครับ ส่วนเรื่องเล่นหลุดบ้างรึปล่าว (พูดแล้วหัวเราะ)ต้องถามว่าวันไหนไม่หลุดบ้าง คือผมว่ามือกลองเรารับบทหนักครับเพราะต้อง control หลายอย่างทั้งเครื่อง MD ทั้งต้องคอยปล่อยเพลง ต้องดูความพร้อมของเพื่อนๆอีกยุ่งครับ
M2D : วางแผนเกี่ยวกับอนาคตไว้อย่างไรและอยากเห็นอะไรในวงการเปลี่ยนแปลงบ้างครับ
K.บ๋อม : ผมคงไม่บอกว่าจะเล่นมันเป็นอาชีพ แต่จะอยู่กับมันไปตลอดแม้ว่าจะไม่ได้มีรายได้หลักจากการตีกลอง ผมมีความรู้สึกว่าถ้าบอกว่าจะยึดมันเป็นอาชีพแล้วเหมือนกับว่ามันไม่ได้พัฒนา ไม่มีการฝึก เพราะต้องเล่นแต่เพลงตลาด เล่นเพลงเดิมๆ ขณะที่บอกว่าอยู่กับมันและเล่นไปตลอดไม่บอกว่ายึดเป็นอาชีพทำให้รู้สึกว่าเป็นอิสระกับตัวเรา ส่วนเรื่องที่อยากเห็นและมีการเปลี่ยนแปลงคือ อยากเห็นเพื่อนนักดนตรีด้วยกันเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับการเล่นดนตรีบ้าง คือตอนนี้ผมรู้สึกว่าคำว่า Musician และ performer มันตัดขาดออกจากกัน คือพวก Musician ก็เล่นดนตรีอย่างเดียวไม่สนใจใครโดยเฉพาะคนดูและคนฟัง ขณะที่ตรงกันข้ามกับ performer ที่เน้นการแสดงอย่างเดียวไม่สนใจเรื่องการเล่นและโกยอย่างเดียว ไม่ได้ให้อะไรกับวงการเลย ผมอยากให้ทั้งสองอย่างนี้เกิดความสมดุลครับ คือพอขึ้นเวทีแล้วเราต้องเล่นให้คนดูฟัง ทำให้เค้ามีความสุข ไม่ใช่เล่นอย่างเดียว ซึ่งแต่ก่อนผมก็ติดเป็น performer ไป ผมว่าถ้าขึ้นไปเล่นบนเวทีแล้วไม่ทำให้คนดูมีความสุข ถือว่าเราสอบตกครับ
M2D : ตอนนี้มีแผนจะทำอะไรบ้างครับ
K.บ๋อม : ตอนนี้ผมคงโฟกัสไปที่ทัวร์คอนเสริตท์ครับ ที่ยาวไปอีก 3 เดือนข้างหน้า แล้วภาระอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ ผมต้องฝึกอีกเยอะ เพราะตอนนี้ถือว่าผมโชคดีกว่าเพื่อนๆนักดนตรีที่เก่งๆหลายคน ที่มีผลงานออกไปแล้วมีคนชอบเรา น้องๆยึดเราเป็นตัวอย่าง ผมทั้งรู้สึกเขิน อึดอัด และดีใจ ทำให้เรายิ่งต้องพัฒนาตัวเองครับ
M2D : ท้ายนี้มีอะไรจะฝากถึงน้องๆบ้างครับ
K.บ๋อม : ผมอยากขอยืมคำพูดของAkira jumbo มาพูดซึ่งเป็นคำพูดที่ผมชอบและจำไว้ตลอดคือ นักดนตรีที่ดีต้องมองอะไรกว้างๆ อย่ามองแบแคบๆลึกๆเพราะจะทำให้เราไม่เห็นความสวยงามของดนตรีอย่างอื่น อย่ายึดติดกับดนตรีแนวใดแนวหนึ่ง แล้วจะเห็นความสวยงามของดนตรีอย่างอื่นครับ
เสียงคำตอบวลีสุดท้ายของคุณบ๋อมจบลง พร้อมกับเวลาของการร่ำลาที่มาถึง ผมรู้ว่าผมได้ตัวอย่างมือกลองรุ่นใหม่ที่ดีเหมาะแก่การเป็น Idol ให้สมาชิกของผมแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ความตั้งใจทำงาน และความเข้าใจในหน้าที่นักดนตรีที่ดี ถึงตอนนี้ก็คงต้องเฝ้ารอและเอาใจช่วยมือกลองหนุ่มหน้าหยกนี้ให้ประสบความสำเร็จในหนทางถนนดนตรีสายนี้ ที่มีพวกเราชาว M2D ร่วมเดินไปด้วยกันครับ
คุณบ๋อมฝาก Set up กลองมาให้ดูกันนะครับ
แล้วก็ฝากโน๊ตเพลงมาให้ดูกันจะได้ไม่เสียเวลาแกะครับ
By: mr.pop
No comments:
Post a Comment